Monthly Archives: November 2016

Pressure Safety Valve (วาล์วนิรภัย) VS Pressure Relief Valve (วาล์วลดแรงดัน)

%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a5

วันนั้น  http://www.nssteel.co.th/ จะพามาทำความรู้จักกับวาล์วนิรภัย  และวาล์วลดแรงดัน  โดยอุปกรณ์วาล์ว ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยของระบบ มีหน้าที่หลักคือระบายแรงดันภายในระบบออก ซึ่งจะทำงานเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีแรงดันเกินกว่าค่าที่ตั้งไว้ วาล์วทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันด้านการใช้งาน กล่าวคือ Pressu/re Safety Valve จะใช้กับของเหลวที่บีบอัดได้ (Compressible Fluid) เช่น ไอน้ำ หรือ ก๊าซ ซึ่งต้องการระบายความดันอย่างรวดเร็ว สำหรับ Pressure Relief Valve จะใช้กับของเหลวที่บีบอัดไม่ได้ (Non Compressible Fluid) เช่น น้ำ หรือ น้ำมัน ซึ่งจะระบายความดันอย่างช้าๆ

อุปกรณ์วาล์ว ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยของระบบ มีหน้าที่หลักคือระบายแรงดันภายในระบบออก ซึ่งจะทำงานเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีแรงดันเกินกว่าค่าที่ตั้งไว้ วาล์วทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันด้านการใช้งาน กล่าวคือ Pressure Safety Valve จะใช้กับของเหลวที่บีบอัดได้ (Compressible Fluid) เช่น ไอน้ำ หรือ ก๊าซ ซึ่งต้องการระบายความดันอย่างรวดเร็ว สำหรับ Pressure Relief Valve จะใช้กับของเหลวที่บีบอัดไม่ได้ (Non Compressible Fluid) เช่น น้ำ หรือ น้ำมัน ซึ่งจะระบายความดันอย่างช้าๆ โดยวาล์วทั้งสองชนิดมีส่วนประกอบที่คล้ายคลึงกันได้แก่

1.Valve Body: ส่วนใหญ่ผลิตจากเหล็กหล่อ หรือ วัสดุอื่นตามการใช้งาน โดยเป็นโครงสร้างที่ใช้ติดตั้งกับท่อหรือถังความดันที่จะทำการปกป้อง

2.Disc: ลักษณะเป็นแผ่นกลมที่ใช้กดปิดกั้งของเหลวไว้ โดยอาศัยแรงกดจากสปริง โดย Disc นี้จะทำหน้าที่รับแรงดันไว้ทั้งหมด

3.Stem: เป็นส่วนที่รับแรงกดจากสปริงและส่งแรงกดไปยัง Disc โดยมีหน้าที่เป็นแกนบังคับให้ส่วนที่เคลื่อนไหว เคลื่อนที่ตามแนวแกน

4.Spring:  เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดแรงดันต้านทานความดันที่ Disc การปรับ Adjust Screw ให้สปริงยืดหดตัวแตกต่างกันส่งผลให้แรงกดที่ Disc มีค่าแตกต่างกัน จึงเป็นหลักการสำคัญที่ใช้กำหนดค่าความดันที่จะให้วาล์วทำการระบาย (Set Pressure)

  1. Adjust Screw: ใช้ปรับระยะยืด หด ของสปริง จุดนี้เองที่ใช้ทำการปรับตั้งค่าความดัน

การทำงานของ Pressure Safety Valve โดยทั่วไปเพียงแค่เมื่อความดันภายในท่อหรือถังมีค่ามากกว่า Set Pressure แรงจากความดันที่กระทำต่อ Disc จะมีค่ามากกว่าแรงที่กดจากสปริง ทำให้ Disc เกิดการยกตัวขึ้น และระบายความดันส่วนเกินออกมา เมื่อความดันภายในระบบลดลงแล้ว Disc ก็จะเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งและรับความดันภายในเช่นเดิม

ข้อควรรู้ก่อนทำและหลังทำตาสองชั้น

 

%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99-1

 

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดตาสองชั้น

เนื่องจากเป็นการทำผ่าตัดโดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ไม่ต้องดมยาสลบ จึงไม่ต้องอดอาหาร แต่ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆในบริเวณใบหน้า เพราะจะทำให้ยากต่อการเช็ดออกก่อนทำผ่าตัด ตลอดจนเป็นบ่อเกิดการติดเชื้อโรคได้ อีกกรณีคือ หากผู้ป่วยมีการรับประทานยาห้ามเลือด ยาลดการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ควรหยุดรับประทาน 7-10 วัน เพราะอาจเป็นเหตุให้เลือดออกง่าย และออกมากกว่าปกตินั้นเอง

อาจจะสระผมก่อนมาผ่าตัด เพราะหลังการผ่าตัดเราอาจจะสระผมไม่สะดวก และควรงดการทำงานหรือออกกำลังกายหนัก ที่อาจพลาดพลั้งถูกแผลผ่าตัด แต่ถ้าหากเป็นงานเบาๆ ก็ยังพอทำได้หลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ ตาทั้ง 2 ข้าง จะบวม มากบ้างน้อยบ้าง และควรงดใช้เครื่องสำอางบริเวณตาจนกว่าแผลจะหายสนิท ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

วิธีดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมตา

  1. ในวันผ่าตัดไม่ควรขับรถไปเอง ควรมีผู้ติดตามไปด้วย เพราะเมื่อผ่าตัดเสร็จผู้ป่วยจะยังใช้สายตาไม่สะดวก
  2. พกแว่นกันแดดติดตัวไปด้วยในวันผ่าตัด เพื่อใช้อำพรางดวงตาและป้องกันแสงแดด
  3. นอนหนุนหมอนสูง 2-3 ใบ ในช่วงวันแรกหลังผ่าตัด
  4. ในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าตัด ให้ประคบเย็นที่บริเวณหน้าผากและรอบดวงตา โดยประคบ 15 นาที เว้น 15 นาที เพื่อช่วยห้ามการไหลซึมของเลือดที่จะซึมมาตลอดหลังการผาตัด
  5. ทานยาแก้อักเสบและลดบวม หากเกิดอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ หลีกเลี่ยงการดื่มของมึนเมา เนื่องจากจะมีผลทำให้แผลหายช้าและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง สามารถทำความสะอาดแผลได้ โดยใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ บริเวณแผลที่เปลือกตาและซับให้แห้ง แล้วทายาเคลือบแผลตามแพทย์สั่ง
  7. ผู้ป่วยไม่ควรล้างหน้าในช่วง 3 วันแรกหลังทำ เพื่อให้แผลแห้งและหายเร็ว
  8. พยายามอย่ากะพริบตาถี่เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบวม
  9. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะมีผลต่อการเพิ่มความดันในดวงตา เช่น การเล่นกีฬาทุกประเภท การก้ม การยกของหนักหรือแม้แต่การร้องไห้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการออกแดด และสวมแว่นกันแดดเสมอจนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ
  10. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องใช้สายตา เช่น อ่านหนังสือนานๆ การใช้คอมพิวเตอร์ และการใส่คอนแทคเลนส์ เนื่องจากทำให้ตาแห้งได้
  11. ไม่ควรขยี้ตาแรงในช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังจากทำ บางคนอาจจะมีขี้ตามากกว่าปกติ และรู้สึกตึงหนังตาบนบ้าง ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์
  12. ในช่วงแรก ชั้นตาจะยังดูบวม หนา ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงไปเรื่อยๆ แล้วจะสามารถเห็นชั้นตาที่สวยงามในสัปดาห์ที่ 4 และจะหายสนิทในระยะเวลา 1 – 3 เดือนหลังผ่าตัด

แนวโน้มการทำธุรกิจแฟรนไชส์คณิตศาสตร์

7-1

ปัจจุบันถือได้ว่า ธุรกิจแฟรนไชส์คณิตศาสตร์ ยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งเกรงว่าเมื่อเปิดตลาดแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว จะมีแรงงานจากอาเซียนมากมายเข้ามาแย่งงานแรงงานไทย ทำให้งานหายากขึ้น ดังนั้นการศึกษาไทยจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ความต้องการด้านศึกษาก็จะมากขึ้นตามมาด้วย จึงทำให้ธุรกิจการศึกษานั้นเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ทั้งนี้ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่สนใจที่จะลงทุนควรที่จะศึกษาถึงความต้องการ และความเป็นไปได้ในอนาคต ว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร

แฟรนไชส์คณิตศาสตร์ที่นำเรานำมาแนะนำกันวันนี้คือ “แฟรนไชส์คณิตศาสตร์ จาก smart-kids.net ” ซึ่งเป็นสถาบันกวดวิชาที่เน้นสอนวิชาคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ เพื่อเป็นการเพิ่มความรู้ความสามารถ หรือที่เรียกง่ายๆก็คือการเพิ่มเกรดนั่นเอง

เพราะวิชาคณิตศาสตร์คือรายวิชาที่มีความสำคัญอย่างมากในประเทศของเรา เรียกได้ว่าเป็นวิชาหลักอีกหนึ่งวิชาที่จะใช้การเข้าเรียน สมัครงาน หรืออื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าการเปิดสถาบันกวดวิชา ที่เน้นแต่เรื่องของคณิตศาสตร์ทำให้หลายคนที่มีเป้าหมายจะสอบเข้าทำงานบัญชี หรือสอบเข้าคณะบัญชี เพื่อศึกษาต่อมีความสนใจและต้องการเข้าร่วมมากยิ่งขึ้น

ทางด้านของการศึกษานั้นจะเน้นแต่วิชาคณิตศาสตร์อย่างเดียว จึงทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้และประโยชน์อย่างเต็มที่ที่สุด

เคล็ดลับสแลนกรองแสงกับการเลือกใช้งานให้เหมาะสมในงานเกษตรกรรม

23

เนื่องด้วยในตลาดมีแสลนกรองแสง หรือ ตาข่ายกรองแสง จำหน่ายอยู่มากมายหลายสี หลายแบบ ทำให้บางคนเลือกใช้แสลนไม่ถูก ไม่รู้จะใช้แบบไหนดี หรือนำมาใช้แล้วประสิทธิภาพของกรองแสงที่ได้ไม่ตรงตามความต้องการใช้งาน

ในการเลือกใช้งาน แสลนกรองแสง หรือ ตาข่ายกรองแสง ให้มีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการ นั้นต้องทำอย่างไร จึงทำให้มีหลายคนเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วจะเลือกใช้แสลนแบบกรองแสงกี่เปอร์เซ็นต์ดี? หรือเลือกใช้แสลนสีไหนดี?

เช่นนั้นแล้ว kongsawat.com จึงมีเคล็ดลับในการเลือกใช้งาน แสลนกรองแสง หรือ ตาข่ายกรองแสง สำหรับงานเกษตร มาฝากครับ

หน้าที่ของแสลนกรองแสงนั้นคือการลดทอนความเข้มแสงให้บางเบาลงเพื่อไม่ให้พืชนั้นได้รับแสงมากจนเกินไป การเลือกเปอร์เซ็นต์ในการกรองแสงของแสลนก็จะขึ้นอยู่กับชนิดของพืช กับช่วงอายุของพืชที่เราปลูกครับ เช่น ในช่วงของการเพาะเมล็ด จนถึงช่วงอนุบาลกล้าก็ต้องใช้การกรองแสงมากหน่อยประมาณ 70% ถึง 80% ครับ และเมื่อต้นกล้ามีอายุมากขึ้น จนสามารถย้ายลงแปลงเพาะปลูกได้นั้น ปริมาณแสงที่ได้รับก็ต้องเพิ่มขึ้น เราอาจจะใช้กรองแสงแค่ประมาณ 50% ถึง 60% ก็เพียงพอต่อความต้องการของพืชแล้วล่ะครับ และหากว่าชนิดพืชที่ปลูกนั้น เป็นพืชจำพวกที่ไม่ชอบแสงจัด ต้องการร่มเงา อย่างเช่น กล้วยไม้ พืชกลุ่มนี้ไม่ต้องการแสงปริมาณมากๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใช้กรองแสงในปริมาณที่สูงขึ้นซัก 80% กำลังดีครับ

หากต้องการใช้แสลนที่ปริมาณกรองแสงน้อยกว่า 50% นั้น หรือปริมาณกรองแสงที่ไม่มีขาย เราสามารถทำได้ง่ายๆครับ เช่น ต้องการปริมาณกรองแสงที่ 25% ก็ให้หาแสลนกรองแสงแบบ 50% มาสองผืน ขึงกางซ้อนกัน โดยให้เว้นระยะห่างระหว่างผืนซักประมาณ 1 ไม้บรรทัด (12 นิ้ว) ครับ เพียงเท่านี้เราก็จะได้ปริมาณกรองแสงที่ใกล้เคียงกับ 25% แล้วล่ะครับ

และอีกเรื่องคือ สีของแสลน ที่มีทั้ง สีดำ และ สีเขียว แล้วเราควรจะใช้สีอะไรดีล่ะ? ทั้ง 2 สีนั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของสีกับแสงและความรู้สึกครับ กล่าวคือ สีดำจะไม่ไปตัดทอนค่าความยาวของคลื่นแสง แสงที่ลอดผ่านแสลนสีดำนั้น จะเป็นแสงขาวเหมือนที่เราเห็นทั่วไป แต่แสลนสีอื่นจะสะท้อนตัดทอนค่าความยาวของคลื่นแสงที่เป็นสีเดียวกับสีของแสลนนั้นออกไป และพืชก็ต้องการแสงสีน้ำเงินและแดงเป็นหลัก ซึ่งรวมอยู่ในแสงขาวอยู่แล้ว ถ้าแสงสีเหล่านี้ถูกตัดทอนออกไปก็จะมีผลต่อการสังเคราะห์แสง จนถึงการเจริญเติบโตของพืชครับ ส่วนแสลนสีเขียวนั้นเราจะเห็นคนเลือกใช้กันเยอะมากกว่าสีดำ นั่นก็เพราะว่า ประเด็นหนึ่งเลยคือแสลนสีดำเก็บความร้อนดีกว่าสีเขียว ตามคุณสมบัติของสีดำ ซึ่งส่งผลให้ในระยะยาวแสลนสีดำนั้นจะพุพังเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าสีเขียวนั่นเองครับ

แต่ทั้งนี้ข้อมูลการเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับความแตกต่างของสีแสลนนั้น ก็ยังไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมากเท่าไรนัก อยู่ที่ตัวผู้ใช้เองกับความรู้สึกที่มีต่อสีซะมากกว่า

นอกจากนี้ประโยชน์ของ แสลน หรือ ตาข่ายกรองแสง ยังช่วยในเรื่องของการลดความแรงตกกระทบของเม็ดฝนที่อาจจะทำให้ใบของพืชช้ำได้ และเวลาขึงแสลนควรจะขึงให้มันตึงที่สุดเท่าที่จะตึงได้ เพราะว่าการขึงให้ตึงนั้นมันจะช่วยป้องกันการกระพือได้ อีกอย่างคือลดการอุ้มน้ำ (น้ำขัง) เวลาเจอฝนตกได้ครับ

 

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากอาเซียน

%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99

1. ไทยตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน ประเทศไทยย่อมได้รับประโยชน์จากปริมาณการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับจีน (และอินเดีย) มากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ ประชาคมอาเซียนจะได้รับผลทั้งด้านบวกและลบต่อประเทศไทยขึ้นอยู่กับพวกเราคนไทยจะเตรียมตัวอย่างไร แต่ผลทางบวกนั้นจะชัดเจนเป็นรูปธรรมและจับต้องได้

2. เมื่อเข้าสู่ อาเซียน ตลาดของเราจะใหญ่ขึ้น กลายเป็นตลาดของคนทั้ง 590 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังอีก 9 ประเทศได้เหมือนกับส่งไปขายต่างจังหวัด

3. ประเทศไทยจะมีหน้ามีตาและฐานะเด่นขึ้น ประชาคมอาเซียนจะทำให้มีขนาดใหญ่อันดับ 9 ของโลก ยังคงมีประโยชน์แก่คนไทยทุกคนที่จะได้ยืนอย่างสง่างามและยิ้มแบบสยามจะเห็นได้อย่างชัดขึ้น

4. ความเป็นประชาคมจะทำให้มีการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารคมนาคมระหว่างกันเพื่อประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งก็จะช่วยให้คนในอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รู้จักกัน และสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เป็นผลดีต่อประเทศ ความเข้าใจอันดีงามและความร่วมมือกันโดยรวมนับเป็นผลทางความสร้างสรรค์ในหลายมิติด้วยกัน

5. การค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนจะคล่องและขยายตัวมากขึ้น กำแพงภาษีจะลดลงจนเกือบจะหมดไป เพราะ 10 ตลาดกลายเป็นตลาดเดียว ผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปขายในตลาดนี้และขยับขยายธุรกิจของตนเองง่ายขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้นราคาสินค้าก็จะถูกลง

การพัฒนาของทัวร์สิงคโปร์

singapore-merlionการทัวร์สิงคโปร์เริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ในช่วงหลังการได้รับเอกราช เนื่องด้วยต้องการสร้างความเข้มแข็งของรัฐ-ชาติตน เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กและมีปัญหาเรื่องความหลากหลาย ทางเชื้อชาติ สิงคโปร์จึงสร้างความเป็นชาตินิยมผ่านทางเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจการพัฒนาทางการเมืองมากนัก การพัฒนาทางการเมืองของสิงคโปร์เน้นเฉพาะเรื่อง เชิงโครงสร้าง-หน้าที่ การเมืองเชิงสถาบัน แต่ยังบกพร่องในเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง ชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์สร้างความเป็นชาติผ่านอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม และชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายของแนวคิดปัจเจกชนนิยม ทั้งยังใช้กลไกรัฐเชิงบังคับและเชิงอุดมการณ์เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกล่อมเกลาและกาจัดการเคลื่อนไหวต่อต้าน จะเห็นได้ว่าบทบาทรัฐของสิงคโปร์นั้นมีความโดดเด่นและสำคัญมาก รัฐมีบทบาทนาอย่างมากในการพัฒนาและสร้างอุดมการณ์ครอบงำการพัฒนาแบบทุนนิยม

ชนชั้นนำสิงคโปร์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์มีการปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างรุนแรง ชนชั้นนำสิงคโปร์เลือกแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมเสรีโดยอยู่เคียงข้างสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน ในทางเศรษฐกิจนั้น ศาสตราจารย์ คุนิโอะ เสนอว่า ทุนนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นทุนนิยมเทียม เพราะ รัฐแทรกแซงอย่างไร้ประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยีต่าและไม่สอดรับทิศทางการพัฒนา รวมทั้งการกีดกันทางการเมืองกับเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความต่างทางเชื้อชาติ คุนิโอะเสนอว่า ไม่สามารถมองสิงคโปร์ซึ่งมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีความเจริญสูงมาก ว่าเป็นรูปแบบที่ถูกต้องของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศนี้ไม่ใช่แบบอย่างประเทศทุนนิยมอุตสาหกรรม เพราะนายทุนที่มีความสามารถในการผลิตส่งออกส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สิงคโปร์ไม่สามารถสร้างระบบพลวัตรทุนนิยมของตนเองได้เพราะพึ่งทุนต่างชาติมาก แม้จะมีเทคโนโลยีดี ไม่กีดกันเรื่องเชื้อชาติ และมีการแทรกแซงระบบตลาดได้มีประสิทธิภาพกว่าหลายๆประเทศในเอเชียก็ตาม บทบาทรัฐนาการพัฒนาในการทัวร์สิงคโปร์จึงมีความชัดเจนมาก เพราะรัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นและนักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจต่างๆจานวนมาก ทุนนิยมในสิงคโปร์เป็นทุนนิยมที่เสรีแต่ถูกจากัดอย่างมากในทางการเมือง เศรษฐกิจในสิงคโปร์เป็นเศรษฐกิจที่เน้นภาคการเงินและการบริการมากกว่าภาคการผลิตที่เป็นจริง http://singaporeholidaytour.com/